วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

นาย นนทกร ชูวงษ์






นาย นนทกร ชูวงษ์
รหัสนักศึกษา : 564145121
หมู่เรียน : 56/16
โปรแกรมวิชา : คอมพิวเตอร์ศึกษา
มหาวิทยาลัย ราชภัฎนครปฐม

Port Input / Output

หน่วยความจำหลัก

ไมโครโปรเซสเซอร์


 

หน่วยความจำสำรอง

 

 
 

ระบบบัส


วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่ 1.โครงสร้าง Port

โครงสร้างของพอร์ต
        การที่จะให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้ เช่นการรับข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอก (INPUT)หรือการส่งข้อมูลให้กับอุปกรณ์ภายนอก (OUTPUT) ก็จะต้องติดต่อผ่านพอร์ต (PORT) หรืออาจกล่าวได้ว่าพอร์ตคือช่องทางสำหรับการโอนย้ายข้อมูลระหว่งไมโครคอนโทรลเลอร์กับอุปกรณ์ภายนอกนั้นเอง


          รูป 1 แสดงโครงสร้างภายในของพอร์ต

แหล่งที่มา : http://adisak-diy.com/page28.html

บทความที่ 2.Control Port

           ระบบควบคุมขนาดเล็กซึ่งเทียบได้กับระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งชุด กล่าวคือ ไมโครคอนโทรลเลอร์ได้รวบรวม  ระบบประมวลผลCPU (Central Processing Unit) หน่วยความจำ (Memory) และ พอร์ต            (I/O Port) ไว้ในโมดูล เดียวกัน   ซึ่งแตกต่างจากไมโครเซสเซอร์ตรงที่ ไมโครโปรเซสเซอร์จะต้องต่ออุปกรณ์ หน่วยความจำและพอร์ตอินเตอร์เฟสข้างนอก เนื่องจากไมโครคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็ก มียืดหยุ่น และความสามารถสูง จึงนิยมฝังไว้ในอุปกรณ์ทางไฟฟ้าหรือ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์นั้น เช่น ทีวี เครื่องซักผ้า มือถือ รีโมท กล่อง ECU รถยนต์ เครื่องบิน หรือ แม้กระทั่ง บางส่วนของยานอวกาศ

แหล่งที่มา : http://mis.csit.sci.tsu.ac.th/grit/grit02.html

บทความที่ 2.Control Port

           ระบบควบคุมขนาดเล็กซึ่งเทียบได้กับระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งชุด กล่าวคือ ไมโครคอนโทรลเลอร์ได้รวบรวม  ระบบประมวลผลCPU (Central Processing Unit) หน่วยความจำ (Memory) และ พอร์ต            (I/O Port) ไว้ในโมดูล เดียวกัน   ซึ่งแตกต่างจากไมโครเซสเซอร์ตรงที่ ไมโครโปรเซสเซอร์จะต้องต่ออุปกรณ์ หน่วยความจำและพอร์ตอินเตอร์เฟสข้างนอก เนื่องจากไมโครคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็ก มียืดหยุ่น และความสามารถสูง จึงนิยมฝังไว้ในอุปกรณ์ทางไฟฟ้าหรือ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์นั้น เช่น ทีวี เครื่องซักผ้า มือถือ รีโมท กล่อง ECU รถยนต์ เครื่องบิน หรือ แม้กระทั่ง บางส่วนของยานอวกาศ

แหล่งที่มา : http://mis.csit.sci.tsu.ac.th/grit/grit02.html

บทความที่ 3.Port Input


 การใช้งานพอร์ตเป็นการอินพุตข้อมูลจะต้องเริ่มด้วยการส่งข้อมูลที่มีค่าเป็น 1 ออกมาทางบิตของพอร์ต นั้นก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อหยุดการทำงานของทรานซิสเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับสัญญาณเอาต์พุตของบิตนั้น ทำให้ขาสัญญาณของบิตถูกต่อเข้ากับตัวต้านทานซึ่งทำหน้าที่ Pull-up ภายในซึ่งมีผลให้บิตนั้นๆของพอร์ต 1,2 และ 3 เป็น สภาวะของลอจิกสูง ตัวต้านทานนี้มีค่าประมาณ 50 K โอห์ม ซึ่งเป็นค่าที่สูงมาก และทำให้อุปกรณ์ภายนอกสามารถขับสัญญาณของพอร์ตเหล่านี้เป็นลอจิกต่ำได้ง่าย สำหรับบิตของพอร์ต 0 นั้น แม้ว่าจะมีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกัน กับบิตของพอร์ตอื่นๆ แต่เนื่องจากการที่
ไม่มีตัวต้านทานทำหน้าที่ Pull-up ภายในไว้ ทำให้เมื่อทรานซิสเตอร์ที่ทำหน้าที่ ขับสัญญาณเอาต์พุตนั้นหยุดการทำงาน ก็จะเป็นผลให้ขาสัญญาณนี้อยู่ในสภาวะอิมพีแดนซ์สูงแทน

บทความที่ 4.Port Output

เมื่อมีการส่งข้อมูลที่มีค่าเป็น 0 ให้กับแต่ละบิตของพอร์ตทุกพอร์ต ข้อมูลนี้จะถูกส่งให้กับ  ฟลิปฟลอปซึ่งจะค้างค่านี้ไว้ และมีผลทำให้ทรานซิสเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับสัญญาณเอาต์พุตนั้นทำงาน ดังนั้นขาสัญญาณก็จะมีสภาวะ ลอจิกเป็นลอจิกต่ำส่วนการส่งข้อมูลที่มีค่าเป็น 1 ออกมานั้น ในกรณีที่เป็นการทำงานในแต่ละบิตของพอร์ต 1,2 หรือ 3 จะทำ ให้ทรานซิสเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับสัญญาณเอาต์พุตนั้นหยุดการทำงาน มีผลทำให้ขาของสัญญาณเป็นลอจิกสูงด้วยตัว ต้านทานที่ Pull-up อยู่ภายในนั้น แต่สำหรับการทำงานในแต่ละบิตทางพอร์ต 0 นั้นจะมีผลที่แตกต่างออกไป โดยขา สัญญาณจะเป็นสภาวะอิมพีแดนซ์สูงแทน เนื่องจากไม่มีตัวต้านทานภายในเชื่อมต่ออยู่นั่นเอง ดังนั้นในการใช้งานพอร์ต 0 เป็นการเอาต์พุตข้อมูล จึงจำเป็นต้องใช้ตัวต้านทานภายนอก Pull-up สัญญาณไว้กับลอจิกสูงแทน             


 

บทความที่ 5.วิวัฒนาการ Port USB

 USB ย่อมาจาก Universal Serial Bus ถูกวางโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ผู้นำทางด้านอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ และคอมพิวเตอร์ ช่วยกันวางมาตรฐาน โดยในยุคเริ่มแรกนั้น ก็มี COMPAQ, IBM, DEC, Intel, Microsoft, NEC และ Northern Telecom มาตรฐานของ USB นั้น ออกสู่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี พ.ศ.2537 ด้วย Revision 0.7 และได้ปรับปรุงแก้ไขเรื่อยมา จนกระทั่ง เมื่อ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2541 ได้เป็น Revision 1.1 (USB 1.1) ด้สำเร็จและยังได้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ จนเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2541 ได้เป็น Revision 1.1 (USB 1.1)
            แต่ความเร็วของ USB ในขณะนั้น ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นทางกลุ่มผู้พัฒนา หรือ USB-IF (USB Implementers Forum, Inc.) ได้ร่างมาตรฐาน USB รุ่นใหม่ และได้ข้อสรุป เป็นมาตรฐานที่แน่นอน คือ USB 2.0 ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2543 สำหรับความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลนั้น USB1.1 จะมีความเร็วอยู่ที่ 12 Mbps ส่วน USB 2.0 นั้น รองรับระดับการรับส่งข้อมูลได้ถึง 3 ระดับ คือ
ความเร็ว 1.5 Mbps (Low Speed) สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลคราวละมากๆ
ความเร็ว 12 Mbps (Full Speed) สำหรับการเชื่อมต่อกับ USB 1.1
ความเร็ว 480 Mbps (Hi-Speed) สำหรับการเชื่อมต่อกับ USB 2.0 ด้วยกัน

แหล่งที่มา : http://eaermut.blogspot.com/2008/10/usb.html

บทความที่ 6.Port Scanner

  Port Scanning เป็นหนึ่งในเทคนิคที่โด่งดังที่สุดที่ผู้โจมตีใช้ในการค้นหาบริการที่พวกเขาจะสามารถเจาะผ่านเข้าไปยังระบบได้ โดยปกติแล้วทุก ๆ ระบบที่ต่อเข้าสู่ระบบ LAN หรือระบบอินเทอร์เน็ตจะเปิดบริการทั้งที่อยู่บนพอร์ตที่เป็นที่รู้จักและที่ไม่เป็นที่รู้จัก สำหรับการทำ Port Scanning นั้น ผู้โจมตีจะสามารถค้นหาข้อมูลได้มากมายจากระบบของเป้าหมาย ได้แก่ บริการอะไรบ้างที่กำลังรันอยู่ ผู้ใช้คนไหนเป็นเจ้าของบริการเหล่านั้น สนับสนุนการล็อกอินด้วย anonymous หรือไม่ และบริการด้านเครือข่ายมีการทำ authentication หรือไม่ การทำ Port Scanning ทำได้โดยการส่งข้อความหนึ่งไปยังแต่ละพอร์ต ณ เวลาหนึ่ง ๆ ผลลัพธ์ที่ตอบสนองออกมาจะแสดงให้เห็นว่าพอร์ตนั้น ๆ ถูกใช้อยู่หรือไม ่และสามารถทดสอบดูเพื่อหาจุดอ่อนต่อไปได้หรือไม่ Port Scanners มีความสำคัญต่อผู้ชำนาญด้านความปลอดภัยของเครือข่ายมากเพราะว่ามันสามารถเปิดเผยจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่มีความเป็นไปได้ของระบบเป้าหมาย

          ถึงแม้ว่า Port Scans สามารถเกิดขึ้นกับระบบของคุณ แต่ก็สามารถตรวจจับได้และก็สามารถใช้เครื่องมือที่เหมาะสมมาจำกัดจำนวนของข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่เปิดได้ ทุกๆระบบที่เปิด สู่สาธารณะจะมีพอร์ตหลายพอร์ตที่เปิดและพร้อมให้ใช้งานได้ โดยมีการจำกัดจำนวนพอร์ตที่จะเปิดให้แก่ผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตและปฏิเสธการเข้าถึงมายังพอร์ตที่ปิด

เทคนิคต่าง ๆ ของ Port Scan  ก่อนที่คุณจะป้องกัน Port Scans คุณก็จะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า Port Scans ทำงานอย่างไร เนื่องจากมีเทคนิคของ Port Scanning อยู่มากมายหลายรูปแบบ ซึ่งมีเครื่องมือ Port Scanning ที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น Nmap และ Nessus


บทความที่ 7.Port Mouse


 เป็นพอร์ต์ที่ใช้สำหรับต่อสายเม้าส์กับสายคีย์บอร์ดเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเรียกว่าพีเอสทูเม้าส์หรือพีเอสทูคีย์บอร์ด ซึ่งพอร์ตจะมีรูกลมหกรู แล้วก็รูสี่เหลี่ยมหนึ่งรู ซึ่งปลายสายคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ก็จะมีเข็มที่ตรงกับตำแหน่งของรูที่พอร์ตด้วย การเสียบสายเม้าส์และคีย์บอร์ดเข้าไป ต้องระวังให้เข็มตรงกับรู สำหรับพอร์ตเม้าส์และคีย์บอร์ดนั้นจะใช้ Color Key แสดงเอาไว้ สีเขียวคือต่อสายเม้าส์ ส่วนสีน้ำเงินต่อสายคีย์บอร์ด นอกจากนี้ยังมีจุดสังเกตุอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อประกอบเมนบอร์ดเข้ากับเคส ที่เคสจะมีสัญลักษณ์รูปเม้าส์กับรูปคีย์บอร์ด ติดอยู่ เพื่อให้ต่อสายเม้าส์และคีย์บอร์ดได้ถูกต้อง



 

แหล่งที่มา : http://www.zabzaa.com/hardware/ps2_port.htm

บทความที่ 8.Port Keyboard

พอร์ตแป้นพิมพ์ควรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในช่วงต้นของการเชื่อมต่อการควบคุมของคุณเที่ยวบินรองดาดฟ้าซอฟแวร์ซิมของคุณ หลังจากที่เกมพอร์ตหรือพอร์ต USB ขึ้นอยู่กับชนิดของเที่ยวบินหลักของการควบคุมที่คุณใช้พอร์ตแป้นพิมพ์มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในการควบคุมการทำงานของซิมของคุณ 


แหล่งที่มา : http://www.mikesflightdeck.com/interfacing/keyboard_port.html

บทความที่ 9.Port Digital Camera

 กล้องดิจิตอลที่สามารถจับภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพสูงมากและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดความไม่สมบูรณ์โดยอัตโนมัติและปรับองค์ประกอบแสงเพื่อผลิตภาพที่ดีที่สุด รับไฟล์ลงในหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิดีโอสำหรับการแก้ไขหรือการจัดนิทรรศการอาศัยกล้องเชื่อมต่อพอร์ตที่ใช้หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งสายมาตรฐานในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่

ชนิดของการเชื่อมต่อพอร์ตกล้อง thumbnail


แหล่งที่มา : http://www.ehow.com/list_7298714_types-camera-port-connections.html

บทความที่ 10.Port Digital Video

Port Digital Video

    พอร์ตที่เรียกว่าเป็นอาร์ซีเอหรือพอร์ตวิดีโอส่วนที่มีร่วมกันในระดับ high-end กล้องวิดีโอดิจิตอล พวกเขาใช้ชุดของสามหลุมสีสำหรับติดสายสามง่าม (หรือชุดของสายเดียวง่าม) พอร์ต A / V ที่ใช้พอร์ตสีแดงและสีขาวสำหรับทั้งสองช่องทางของเสียงและพอร์ตสีเหลืองที่สามสำหรับวิดีโอ กล้องบางรวมทั้งยังมี S-วิดีโอหรือ HDMI พอร์ตวิดีโอสำหรับการเชื่อมต่อโดยตรงไปยังดาดฟ้าโทรทัศน์หรือวิดีโอ

พอร์ตวิดีโอมีสีแดงสีเหลืองและสีขาวรหัสสี



แหล่งที่มา : http://www.ehow.com/list_7298714_types-camera-port-connections.html

บทความที่ 11.Port Digital Audio

          การติดต่อการแสดงผลแบบดิจิตอลที่พัฒนาขึ้นโดยสมาคมมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์วิดีโอ (VESA) อินเตอร์เฟซที่ใช้งานเป็นหลักในการเชื่อมต่อแหล่งวิดีโอไปยังอุปกรณ์แสดงผลเช่นจอคอมพิวเตอร์แม้ว่ามันจะยังสามารถใช้ในการส่งรูปแบบเสียง, USB, และอื่น ๆ ของข้อมูล
ข้อกำหนด VESA เป็นค่าภาคหลวงฟรี . VESA มันออกแบบมาเพื่อแทนที่VGA , DVIและFPD-Link . ความเข้ากันได้ย้อนหลังกับ VGA และ DVI โดยใช้อะแดปเตอร์ที่ใช้งาน dongles ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้แหล่งวิดีโอโดยไม่ต้องติดตั้ง DisplayPort เปลี่ยนอุปกรณ์แสดงผลที่มีอยู่
รุ่นแรก, 1.0 ได้รับการอนุมัติโดย VESA เมื่อ 3 พฤษภาคม 2006 เวอร์ชั่น 1.1a ได้รับการอนุมัติเมื่อ  2 เมษายน 2007 ตามมาตรฐานปัจจุบัน 1.2 เมื่อ 22 ธันวาคม 2009

แหล่งที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/DisplayPort

บทความที่ 12.Port Fire Wire

          FireWire เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า i-Link เป็นมาตราฐานการเชื่อมต่อที่แพร่หลายในคอมพิวเตอร์พีชี และแม็คอินทอช บางครั้งอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า IEEE1394 (เริ่มต้นพัฒนาโดยบริษัท Apple) จุดเด่นของ FireWire เห็นจะเป็นเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะมีความเร็วสูงถึง 400 เมกะบิตต่อวินาที สูงกว่า USB v1.1 แต่ถ้ากว่า USB 2.0 เพียงเล็กน้อย โดยทั่วไปนิยมใช้กับ กล้องดิจิตอล กล้อง DV และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ หรือสแกนเนอร์ เป็นต้น
 
 

บทความที่ 13.VGA Port

          พอร์ตนี้สำหรับต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับมอนิเตอร์ เป็นพอร์ตขนาด 15 พิน ในคอมพิวเตอร์บางเครื่องอาจจะติดตั้งการ์ดสำหรับถอดรหัสสัญญาณ MPEG เพิ่มเข้ามาซึ่งลักษณะของพอร์ตนั้นจะคล้าย ๆ กันแต่การ์ด MPEG จะมีพอร์ตอยู่สองชุดด้วยกันสำหรับเชื่อมไปยังการ์ดแสดงผลหนึ่งพอร์ต และต่อเข้ากับมอนิเตอร์อีกหนึ่งพอร์ต ดังนั้นเครื่องใครที่มีพอร์ตแบบนี้ ก็ควรจะบันทึกไว้ด้วย เพราะไม่งั้นอาจจะใส่สลับกัน จะทำให้โปรแกรมบางตัวทำงานไม่ได้
 
 

บทความที่ 14.Serial Port

Serial Port คือ พอร์ตอนุกรม ในการสื่อสารข้อมูลนั้นพอร์ตอนุกรมจะมีความเร็วในการสื่อสารที่ช้ากว่าแบบ ขนาน เพราะการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอนุกรมนั้นเป็นการส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิต แต่พอร์ตขนานนั้นสามารถส่งข้อมูลทีละหลายๆ บิทพร้อมๆกันได้ แต่ข้อดีของการสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมคือ สามารถส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่ไกลกว่าแบบขนาน และใช้สายสัญญาณที่น้อยกว่าการสื่อสารข้อมูลแบบขนาน

ประเภทของการสื่อสารแบบอนุกรมแบ่งตามลักษณะสัญญาณในการส่งแบ่งได้ 2 แบบ คือ
1.การสื่อสารแบบซิงโครนัส (Synchronous) เป็นการสื่อสารข้อมูลโดยใช้สัญญาณนาฬิกาในการควบคุมจังหวะของการรับส่งสัญญาณ
2.การสื่อสารแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous) เป็นการสื่อสารที่ใช้สายข้อมูลเพียงตัวเดียว จะใช้รูปแบบของการส่งข้อมูล(Bit Pattern) เป็นตัวกำหนดว่าส่วนไหนเป็นส่วนเริ่มต้นข้อมูล ส่วนไหนเป็นตัวข้อมูล ส่วนไหนจะเป็นตัวตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และส่วนไหนเป็นส่วนปิดท้ายของข้อมูล โดยต้องกำหนดให้สัญญาณนาฬิกาเท่ากันทั้งภาคส่งและภาครับ
สำหรับการติดต่อสื่อสารลักษณะนี้จะใช้การรับส่งข้อมูลแบบ Asynchronous คือจะใช้สายข้อมูลเพียงสายเดียว
มาตรฐาน RS-232 เป็นมาตรฐานของการรับส่งข้อมูลแบบอนุกรมที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อที่จะทำ ให้อุปกรณ์ต่อพ่วงจากผู้ผลิตต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ มาตรฐานRS-232 นี้ได้รับความนิยมและใช้กันกว้างขวางมากในปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งอุปกรณ์ได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. อุปกรณ์ DTE (Data Terminal Equipment) เป็นอุปกรณ์สำหรับส่งข้อมูล (Output) โดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์จะเป็นตัวผู้
2. อุปกรณ์ DCE (Data Communication Equipment) เป็นอุปกรณ์สำหรับรับข้อมูล (Input) โดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์จะเป็นตัวเมีย
คอน เน็กเตอร์ที่นิยมใช้จะเป็นชนิด D-Type แบบ 9 ขา และแบบ 25 ขา โดยจะติดตั้งอยู่หลังเครื่องคอมพิวเตอร์ ระดับแรงดันจะมีค่าระหว่าง -3 โวลต์ ถึง-15โวลต์

ข้อดีข้อเสียของการใช้พอร์ตอนุกรม (serial port) /ขนาน (parallel port)
- พอร์ตขนานเขียนโปรแกรมรับส่งง่าย และส่งข้อมูลได้อัตราความเร็วสูง
- พอร์ตอนุกรมมีจำนวนเส้นสัญญาณน้อยกว่า  ทำให้ประหยัดค่าสายต่างๆ มากกว่า แต่ ข้อมูลหนึ่งชุดจะต้องเสียเวลาส่งนานขึ้น (เพราะต้องเรียงบิตส่งกันไป) 
ปัจจุบันข้อเด่นข้อด้อยดังกล่าวไม่ได้เห็นชัด  ทั้งนี้เพราะพอร์ตอนุกรมความเร็วสูงมีแล้ว (USB)ในขณะที่พอร์ต
อนุกรมเก่าๆ เองยังต้องมีสายควบคุมมากมาย (acknowledge bus มาก)
 
 
 

บทความที่ 15.Port HDMI

         HDMI เป็นระบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบใหม่คะ ย่อมาจากคำว่า (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไม่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด มีความคมลึกและให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขั้วต่อของ HDMI to HDMI จะผลิตจากทองแท้ 24 K  ด้วยนะคะ  ทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ Home Theatre หลายอย่างเช่น พลาสม่าทีวี  แอลซีดีทีวี เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ
 
 

บทความที่ 16.หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)

หน่วยความจำรอง ( Secondary Storage ) หมายถึง หน่วยที่ใช้สำหรับเก็บบันทึก (Save) คำสั่งและข้อมูลเอาไว้อย่างถาวรเพื่อใช้งานในอนาคต หรือเพื่อนำส่งและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่น โดยที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เก็บได้ตลอดเวลา ฮาร์ดแวร์ทีทำหน้าที่ในหน่วยความจำสำรองที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสเกตต์ แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี และยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียในการเก็บข้อมูลต่างกัน
 
 

บทความที่ 17.ชนิดของหน่วยความจำสำรอง

                     หน่วยความจำสำรองเป็นหน่วยความจำที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไป หลังจากได้ทำการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว หน่วยความจำสำรองมีประโยชน์ต่อระบบฐานข้อมูลเป็นอย่างมาก ถ้าปราศจากหน่วยความจำสำรองแล้วเราจะไม่สามารถเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ใช้ด้ในอนาคต หน่วจยความจำสำรองใช้เก็บรักษาข้อมูลและโปรแกรมเอาไว้อย่างถาวรจึงทำให้หน่วยความจำสำรองถูกใช้เป็นสื่อในการนำข้อมูลและโปรแกรมจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนีงไปใช้ยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งได้ และนอกจากนี้หน่วยความจำสำรองยังใช้เป็นหน่วยเสริมหน่วยความจำหลัก โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนหน่วยความจำหลัก ชื่อเรียกว่าหน่วยความจำเสมือน (virtual memory) กล่าวคือแทนที่จะดึงโปรแกรมทั้งหมดเข้าหน่วยความจำหลักที่มีจำนวนจำกัดพร้อมกันหมด คอมพิวเตอร์จะทำการจัดเก็บโปรแกรมไว้ยังหน่วยความจำเสมือนก่อน และเมื่อต้องการจึงจะดึงคำสั่งจากหน่วยความจำเสมือนเข้าหน่วยความจำหลักเพื่อทำการประมวลผล ดังนั้น จึงสามารถประมวลผลโปรแกรมแรมที่มีขนาดใหญ่กว่าหน่วยความจำหลักได้

หน่วยความจำสำรอง สามารถแบ่งตามลักษณะที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ 2 ชนิด คือ

2.1 หน่วยความจำสำรองประเภทที่สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง เป็นหน่วยความจำสำรองที่คอมพิวเตอร์สามารถที่จะเข้าไปกระทำกับข้อมูลที่เก็บในอุปกรณ์ชนิดนั้นตรงส่วนใดก็ได้ในทันที ซึ่งเรียกการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวว่าการเข้าถึงโดยตรงส่วนใดก็ได้ในทันที ซึ่งเรียกการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวว่าการเข้าถึงโดยตรง หรือการเข้าถึงแบบสุ่ม (direct access หรือ random access) อุปกรณ์ชนิดที่สามารถเลื่อนหัวอ่านหรือบันทึกข้อมูลหน่วยความจำประเภทดิสก์ต่าง ๆ ดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภทได้แก่

- จานบันทึกแม่เหล็ก (magnetic disk) เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้มาก และถูกใช้เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้ภายในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่ถึงแม้จะใช้กับเครื่องต่างขนาดกัน โครงสร้างและการใช้งานจะเหมือนกัน จานบันทึกแม่เหล็กที่นิยมใช้กันได้แก่ ฟลอปปี้ดิสก์ (floppy disk) ฮาร์ดดิสก์ (hard disk) และไมโครดิสก์ (microdisk)

- ออพติคัลดิสก์ (optical disk) เป็นอุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาให้มีความจุมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ซีดี-รอม (Compact Disk Read Only Memory, CDROM) วอร์ม (Write Once Read Many, WORM) และแมคนิโต ออปติคัลดิสก์ (Magneto-optical disk, MO)

- พีซีเอ็มซีไอเอ (Personal Computer Memory Card International Association, PCMCIA) เป็นหน่วยความจำที่มีขนาดเล็ก มีขนาดความกว้าง 2 นิ้ว และยาวเพียง 3 นิ้ว คล้ายเครดิตการ์ด เป็นหน่วยความจำสำรองใช้เสียบเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในเวลาใช้งาน และเป็นที่นิยมใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก

2.2 หน่วยความจำสำรองประเภทที่สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยเรียงลำดับเท่านั้น เป็นหน่วยความจำสำรองประเภทที่เก็บตัวข้อมูลแบบเรียงลำดับกันไป ตั้งแต่ตำแหน่งแรกจนถึงตำแหน่งสุดท้าย เมื่อต้องการเข้าถึงข้อมูลตรงส่วนใดนั้น หัวอ่านและบันทึกจะต้องทำการอ่านหรือบันทึกข้อมูลตั้งแต่ตำแหน่งแรก เรียงลำดับกันไปจนถึงตำแหน่งสุดท้าย ซึ่งเรียกการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวว่าการเข้าถึงแบบเรียงลำดับ (seguential access) หน่วยความจำสำรองประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้งานสำรองข้อมูลของระบบ อุปกรณ์ประเภทนี้ได้แก่ เทปแม่เหล็ก

เทปแม่เหล็กถูกใช้กับงานที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลในลักษณะของการเรียงลำดับกันไป เช่น งานสำรองข้อมูลบนหน่วยความจำประเภทแม่เหล็กเป็นหลัก เทปแม่เหล็กที่ใช้อยู่ปัจจุบันมี 2 ประเภทคือ เป็นลักษณะม้วนเรียกว่า เทปรีล (tape reel) และเทปตลับ (cartridge tape) เทปรีลถูกใช้มากในเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับใหญ่ เช่น เครื่องเมนเฟรม และเครื่องมินิ ส่วนเทปตลับสามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มินิ เทปตลับมีราคาถูกและขนาดเล็กกว่าเทปรีลมาก จนสามารถพกพาติดตัวได้สะดวก แต่มีความจุมากกว่าและราคาถูกกว่าเทปรีล และถูกเรียกว่า ตลับข้อมูล (data Cartridges)


ที่มา : http://www.sirikitdam.egat.com/WEB_MIS/103_116/12.html

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติและวิวัฒนาการ Microprocessor

ไมโครโพรเซสเซอร์เป็นผลงานที่ได้มาจากการรวบรวมแนวความคิดของนักวิทยาศาสตร์ หลายสาขา ซึ่งสาขาที่สำคัญได้แก่ สาขาคณิตศาสตร์ สาขาเครื่องกล สาขาไฟฟ้า และสาขาการคำนวณโดยสามารถแบ่งเป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้
 1.     ยุคของกลไก : เป็นยุคเริ่มต้นที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ในสมัยของ Babylonians ต้องการที่จะใช้เครื่องคำนวณที่ทำงานได้ด้วยมือของมนุษย์ จึงได้คิดค้น “ลูกคิด ” ด้วยการใช้งานที่เป็นระบบตัวเลขง่าย โดยใช้เลขฐานสิบ ต่อมาในปี 1801 John Jacquard คิดค้นระบบบัตรเจาะรู (IBM card) เป็นรูปแบบที่ใช้งานเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
           ในปี 1833 Charles Babbage ผู้ที่ได้ชื่อว่าบิดาแห่ง เครื่องคอมพิวเตอร์แบบดิจิตอล โดยความร่วมมือของ Augusta Ada Baron สร้างเครื่องคำนวณที่ชื่อ Analytical engine ขึ้นเพื่อใช้ในการคำนวณและพิมพ์ตารางคณิตศาสตร์  โดยนำไปในการคำนวณตารางการเดินเรือของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในการทำงาน  ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลขนาด 20 หลัก ได้1,000 ค่า

2.     ยุคของไฟฟ้า : เริ่มขึ้นในปี 1800  Michael Faraday คิดค้นและสร้างมอเตอร์ไฟฟ้าขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานของเครื่องคำนวณของ Blaise Pascal ซึ่งใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในสำนักงานจนถึงปี 1970 ซึ่งมีการนำเครื่องคำนวณที่มีขนาดเล็กมาใช้งานคิดค้นโดย Bomar และในช่วงเดียวกัน Monroe ได้คิดค้นเครื่องคำนวณแบบตั้งโต๊ะที่มีการทำงานได้ 4 แบบในปี 1854 ได้มีการกำหนดเป็นรูปแบบของการใช้ logic แทน
         ในปี 1889 Herman Hollerithทำการพัฒนาระบบบัตรเจาะรูเพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลที่มีลักษณะการทำงานเหมือนกับของ Babbage แต่ใช้แนวความคิดของ Jacquard และได้พัฒนาเครื่องโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้สามารถนับ จัดเรียง และตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะทำการจัดเก็บลงในบัตรเจาะรู โดยที่เครื่องจะทำงานได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์คอยควบคุมการทำงานของเครื่องในปี 1890 และในปี 1896 Herman Hollerith ได้จัดตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อว่า Tabulating Machine company ในเวลาต่อมาได้ขยายงานจนเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ใช้บัตรเจาะรู และเรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า “Hollerith cards” โดยเก็บเป็นรหัสขนาด 12 บิต และเรียกรหัสนี้ว่า “Hollerith code" และใช้งานเครื่อง Tabulating machine จนถึงปี 1941
         ในปี 1906 วงการอิเล็กทรอนิกส์ได้มีการเริ่มต้นพัฒนาหลอดสูญญากาศขึ้น โดยหลอดที่ใช้งานคือ หลอดไทรโอด ในช่วงปี1958 Jack Kilby ได้คิดค้นวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) ที่ Texas Instrument ซึ่งอยู่ในรูปแบบของวงจรดิจิตอล คือ RTLในปี 1970 เป็นการสร้างชิพที่มีการรวม transistors จำนวน 15,000 ตัวเข้าไว้ในชิพซิลิกอนเพียงชิพเดียว(LSI : Large Scale Integrated Circuit) จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลง
สำหรับไมโครโพรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1971 โดยทางบริษัทอินเทล เป็นผู้ผลิตออกมาคือ 4004 ผู้คิดค้นและออกแบบคือ Marcian E. Hoff ซึ่งถือได้ว่าเป็นการจุดประกายให้กับไมโครโปรเซสเซอร์ในปัจจุบัน
                
3.    ยุคของไมโครโพรเซสเซอร์ : เริ่มต้นขึ้นในปี 1971 ได้มีการรวมตัวกันผลิตอุปกรณ์ที่เป็นตัวประมวลผลข้อมูลที่เรียกว่า "Microprocessor" จากพื้นฐานมีขนาด 4 บิต LSI และพัฒนาต่อเนื่องจงในปัจจุบันเป็น iA64 (Itanium)   ที่มีขนาด 128 บิต SLSI (Super large-scale integrated circuit) ปัจจุบันเป็นช่วงที่มีการใช้งาน Microprocessor กันมากและการพัฒนาไม่ได้หยุดอยู่เท่านี้ การพัฒนาระบบให้มีขีดความสามารถใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์มากขึ้น หรือที่เรียกว่า "Artificial Intelligence" ซึ่งใช้การประมวลผลแบบขนานส่วนการประมวลผล (Parallel Processing)
              จากประวัติความเป็นมาของ Microprocessor พบว่าจุดกำเนิดเริ่มจากการใช้ลูกคิด แล้วจึงพัฒนามาใช้ฟันเฟืองโดยต่อมาเป็นการใช้หลอดสูญญากาศและรีเลย์ เมื่อมีการผลิตสารกึ่งตัวนำและทรานส์ซิสเตอร์ ต่อจากนั้นเป็นอุปกรณ์ประเภทวงจรรวม ( Integrated Circuit ) และพัฒนามาเป็น Microprocessor และ Microprocessor Base Computer System
- Microprocessor ขนาด 4 Bit
- Microprocessor ขนาด 8 Bit
- Microprocessor ขนาด 32 Bit
- ไมโครโพรเซสเซอร์เพนเทียม หรือ Microprocessor ขนาด 64 Bit

ที่มาข้อมุล : http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/archit.html 

ชนิดของ Microprocessor


ชนิดของ Microprocessor

ไมโครโปรเซสเซอร์ (MICROPROCESSOR) เป็นส่วนประกอบสำคัญในการประมวลผล กลางของคอมพิวเตอร์ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย
1. หน่วยควบคุม ( Control unit)
2. หน่วยความจำ ( Memory unit)
3. หน่วยคำนวน ( Arithmatic unit )
4. หน่วยส่งและรับสัญญาณ ( I/ O unit )
* กล่าวคือ คอมพิวเตอร์จะมีการคำนวนทางคณิตศาสตร์และทำฟังก์ชั่นลอจิกได้ หน่วยที่รับผิดชอบด้าน คำนวนในเครื่องคอมพิวเตอร์คือ หน่วยคำนวน (Arithematic and logical unit) เมื่อหน่วยคำนวนจะ สามารถทำฟังก์ชั่นใด ๆ จะต้องมีผู้บอกหรือควบคุม ซึ่งอาศัย หน่วยควบคุม ( Control unit ) เมื่อทำ การคำนวนก็ต้องมีข้อมูลที่จะนำมาคำนวนและคำนวนแล้วก็ต้องมีที่เก็บผล จึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำ (Memory unit) ซึ่งจะเป็นตัวเก็บและให้ข้อมูลแก่หน่วยคำนวนจุดประสงค์ของการออกแบบคอมพิว เตอร์มาก็เพื่อการใช้งานซึ่งต้องติดต่อเอาข้อมูลมาจากภายนอก และยังต้องแสดงข้อมูลให้ภายนอกได้ ด้วย จึงต้องมีหน่วยส่งและรับสัญญาณ ( I/O unit) ทั้งหมดนี้รวมไว้ในแผ่งวงจรเดียวกันเรียกว่า ไมโครโปรเซสเซอร์
ไมโครโปรเซสเซอร์ที่มี จำหน่ายในท้องตลาด โดยทั่วไปจะแบ่งออกตามตระกูลที่นำมาดังต่อไปนี้คือ
1. พวกไบโพลา พวกนี้ได้แก่ลอจิกประกอบไปด้วยทรานซิสเตอร์ ซึ่งทำงานได้ด้วยกระแสทั้งสองประเภทคือ ลบ และบวก จึงเรียกว่า ไบโพลา (Bipolar ) ตระกูลนี้แบ่งย่อย ๆ ตามลักษณะวงจรคือ - ECL (Emitter Coupling Logic )
- IIL (Integrated Injection Logic)
- TTL (Transistor Transistor Logic)
- STTL (Schottky TTL)
ทั้ง 4 พวกนี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันเรื่องความเร็ว ภายในตระกูลไบโพลาเองความเร็ว แตกต่างกันแต่โดยส่วนรวมแล้วมีชื่อเสียงเรื่องความเร็วสูง
2. พวก MOS (Metal Oxide Semiconductor) พวกนี้ลอจิกเป็นทรานซิสเตอร์ เช่นกัน แต่ เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด Mofet แบ่งออกเป็นพวกตามลักษณะวงจรและสารที่ทำ คือ - PMOS (P- Channel Metal Oxide Semiconductor)
- NMOS (n-channel Metal Oxide Semiconductor)
- CMOS (Complementary Metal Oxide Semiconductor )
พวก MOS มีคุณสมบัติดีเด่นมากเรื่องกินกำลังไฟต่ำ ในการเลือกไมโครโปรเซสเซอร์ที่เหมาะสำหรับงานต่าง ๆ จะต้องพิจารณาข้อมูลให้ละเอียดจึงจะได้ระบบที่ดีเหมา กับงานมากที่สุดซึ่งปัจจุบันได้มี ไมโครโปรเซสเซอร์ของ Intel pentium เกิดขึ้นมาเพื่อลองรับการใช้งานที่มี ระบบ Multimedia ภาพกราพฟิก


อ้างอิง http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5c393e59ea4edb23

ส่วนประกอบโครงสร้างภายใน Microprocessor

ชุดคำสั่งของ RISC
          เพื่อให้เห็นโครงสร้างชุดคำสั่งที่ใช้ใน RISC ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างชุดคำสั่งของ MIPS กระทำกับรีจิสเตอร์ 3 ตัว คือ scr1,scr2 และ dest กล่าวคือ  scr  เป็นรีจิสเตอร์ตัวทำงาน dest เป็นรีจิสเตอร์ผลลัพธ์ คำสั่งส่วนใหญ่ เป็นคำสั่งพื้นฐาน ที่เข้าใจได้ง่าย การออกแบบคำสั่งเหล่านี้มุ่งไปที่การใช้รีจิสเตอร์ภายใน ดังนั้นรีจิสเตอร์ภายในมักมีขนาดกว้าง ในที่นี้ใช้ขนาด 32 บิต ( อินเทล i860 ใช้ชนาด 64บิต ) หากจะพิจารณาคำสั่งที่แสดงจะพบว่าคำสั่งเพียงเท่านี้   ก็เพียงพอต่อการใช้งาน หรือการเขียนโปรแกรมให้ทำงานในสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการได้แล้ว การออกแบบ RISCจึงเป็นสิ่งที่ใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่าง
จาก CISC โดยสิ้นเชิง
         ความสามารถอยู่ที่การจัดการหน่วยความจำ เมื่อซีพียู RISC ทำงานด้วยคำสั่งที่ใช้กับรีจิสเตอร์เป็นหลักมีเพียง RD กับ ST เท่านั้น  ที่ใช้จากหน่วยความจำ LD กับ ST   จึงต้องเกี่ยวกับหน่วยความจำที่ซีพียูต้องติดต่อด้วย  อย่างรวดเร็ว  การที่ซีพียูต้องติดต่ออย่างรวดเร็วนี้ จึงต้องอาศัยหน่วยความจำแคช ดังนั้นประสิทธิภาพของ RISC จึงขึ้นอยู่กับการจัดโครงสร้างของหน่วยความจำด้วย โดยที่หน่วยความจำแคชจะต้องมีบทบาทที่ทำให้ซีพียูติดต่อแล้วพบข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
         โครงสร้างของแคชที่ใช้กับ RISC เป็นแบบ direct maped cache ใช้การติดต่อกับหน่วยความจำนี้จะทำให้หน่วยความจำต่อกับแคชในลักษณะที่มีการกำหนดตำแหน่งแน่นอน แคชแบบนี้จำทำให้การเข้าถึงทำได้เร็วและต้องการพื้นที่น้อยกว่า
         โครงสร้างการอินเตอร์รัปต์ยังคงใช้เหมือนเดิม ในซีพียูแบบ CISC ต้องอาศัยการทำงานในลักษณะโปรแกรมหลายระดับ โดยการใช้สัญญาณอินเตอร์รัปต์เข้ามาเป็นตัวสวิตซ์การทำงานในแต่ละส่วนของโปรแกรม
          กรณีของ CISC ก็เช่นกัน การอินเตอร์รัปต์ก็มีกลไกการทำงานคล้ายกัรนจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องการทำงานภายในซีพียู ใน CISC อาจมีไมโครโค้ดคอยจัดการบางอย่างให้แแต่แนวความคิดของการใช้งานยังคงเหมือนกัน

Microprocessor ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ไมโครโปรเซอร์ในปัจจุบัน
จากการที่ตลาดไมโครโปรเซสเซอร์เป็นตลาดที่ใหญ่มาก ในปี พ.ศ. 2540 นี้คาดกันว่ายอดการขายชิพไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 4 บิตมีสูงถึง 1,400 ล้านตัว ไมโครโปรเซสเซอร์ชิพแบบ 8 บิตประมาณ 1,300 ล้านตัวไมโครโปรเซสเซอร์แบบ 16บิต ประมาณ 400 ล้านตัว และไมโครโปรเซสเซอร์ 32 บิตขึ้นไปประมาณ 150 ล้านตัว การที่ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 8 บิตและ 4 บิตใช้กันมาก เพราะได้รับการนำมาใช้เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ในเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้งานได้มากมาย ตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์จึงเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และยังคงเติบโตได้อีกมากหากจะแบ่งไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในปัจจุบันจึงแบ่งได้ หลากหลายรูปแบบไมโครโปรเซสเซอร์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะจึงยังมีตลาดที่ใหญ่เพราะปัจจุบันมีการนำไมโคร โปรเซสเซอร์เป็นแกนในการออกแบบชิพให้ร่วมกับวงจรอื่น เพื่อใช้งานเฉพาะเราเรียกว่า แกนของ ASIC คือบริษัทผู้ผลิตชิพ สามารถเอาแกนหลักเป็นซีพียูไปไว้ในชิพของตนเองได้เลย


ไมโครโปรเซสเซอร์ระดับสูง เป็นไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้เป็นซีพียูของเครื่องระดับเวอร์กสเตชันหากจะแยกในส่วนของตลาด พีซีออกมาให้เด่นชัดพบว่า ในตลาดพีซีที่ใช้ไมโครซอฟต์วินโดวส์ หรือแมคอินทอชพบว่า ซีพียูในตระกูล X86 มีส่วนแบ่งในตลาดมี92 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 8 เปอร์เซ็นต์เป็นกลุ่มตลาดของเครื่องแมคอินทอช

สำหรับระดับที่สูงกว่าพีซีคือเครื่องระดับเวอร์กสเตชันที่ใช้ยูนิกซ์ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดที่ใช้RISCชิพไมโครโปรเซสเซอร์ ที่อยู่ในตลาดส่วนนี้ ประกอบด้วย
-อัลฟ่า เป็นชิพที่ออกแบบสร้างโดย บริษัทดิจิตอล เป็นชิพไมโครโปรเซสเซอร์ที่มีขีดความสามารถสูง 64 บิต ทำงานได้เร็วถึง 300 เมกะเฮิรตซ์ ชิพไมโครโปรเซสเซอร์นี้มีการให้ลิขสิทธิ์กับบริษัทอื่นไปผลิตด้วย เช่น มิตซูบิชิ ซัมซุง ฯลฯ Mips เป็นชิพต้นตำรับของบริษัท Mips Technology โดยใช้ชื่อเป็น R2000 R4000 ต่อมาได้พัฒนาให้ใช้งานได้กว้างขวาง ปัจจุบันมีการผลิตโดยหลายบริษัท เช่น บริษัท NEC โตชิบา บริษัท IDT
-ชิพ PA-RISC ผู้พัฒนาคือบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด ได้พัฒนามาใช้กับเครื่องที่ผลิตโดย HP ชิพนี้ยังมีการผลิตโดยบริษัทอื่น เช่น ฮิตาชิ ซัมซุง
-ชิพเพาเวอร์พีซี เป็นชิพที่ร่วมกันออกแบบโดยกลุ่มบริษัทหลายบริษัทคือ แอปเปิล ไอบีเอ็ม และโมโตโรล่า จุดมุ่งหมายต้องการให้เป็นชิพชั้นนำที่ใช้งานได้กว้างขวาง โดยเฉพาะนำมาใช้ในเครื่องรุ่นต่อมาของแมคอินทอช
-ชิพสปาร์ก เป็นชิพที่ออกแบบและสร้างโดยบริษัทซันไมโครซิสเต็มและยังมอบลิขสิทธิ์ให้กับบริษัทฟูจิตสี
A


อ้างอิง http://www.school.net.th/library/snet7/micro7.htm

ประวัติ Intel/AMD/Apple A4

INTEL






อินเทล (Intel) เป็นบริษัทผลิตชิพสารกึ่งตัวนำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากรายได้ บริษัทอินเทลเป็นผู้คิดค้นไมโครโพรเซสเซอร์ตระกูลx86 ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้กันมากที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล[2] อินเทลก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1968 ในชื่อ Integrated Electronics Corporation โดยมีสำนักงานอยู่ที่ซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อินเทลยังเป็นผู้ผลิตชิพเซตของเมนบอร์ด, เน็ตเวิร์คการ์ดและแผงวงจรรวม, แฟลชเมโมรี, ชิพกราฟิค, โปรเซสเซอร์ของระบบฝังตัว ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร


อินเทลก่อตั้งขึ้นโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) และโรเบิร์ต นอยซ์ (Robert Noyce) ผู้เชี่ยวชาญด้านสารกึ่งตัวนำ โดยเป็นอดีตพนักงานของ Fairchild Semiconductor พนักงานยุคแรกเริ่มที่สำคัญอีกคนของอินเทลคือ แอนดรูว์ โกรฟ ซึ่งในภายหลังเป็นผู้บริหารคนสำคัญ ที่ทำให้อินเทลก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในปัจจุบัน


แต่เดิมนั้น ชื่อของอินเทลจะเป็นที่รู้จักเฉพาะในหมู่วิศวกรและนักเทคโนโลยีเท่านั้น แต่หลังจากที่โฆษณา อินเทล อินไซด์ ประสบผลสำเร็จอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1990 ชื่อของอินเทลก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในทันที โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักคือ หน่วยประมวลผลกลางตระกูลเพนเทียม (Pentium)


 



AMD




แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์, Inc. หรือ เอเอ็มดี เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อ ปี ค.ศ. 1969 โดยพนักงานเก่าจากบริษัท Fairchild Semiconductorโดย เอเอ็มดี ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ เซมิคอนดัคเตอร์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นผู้พัฒนา ซีพียู และเทคโนโลยีต่างๆ ออกสู่ตลาด และ ผู้ใช่ทั่วไป.โดยที่สินค้าหลักของบริษัทคือ ไมโครโพรเซสเซอร์,เมนบอร์ดชิปเซ็ต,การ์ดแสดงผล,ระบบฟังตัว สำหรับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์,คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และ ระบบฝังตัวต่าง โดยที่ผลิตภัณฑ์ของเอเอ็มดีที่เป็นที่รู้จักได้แก่ไมโครโพรเซสเซอร์ตระกูล APU,Phenom II,Athlon II, Sempron, บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, APU Mobile ในคอมพิวเตอร์แบบพกพา,Opteron สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และชิปกราฟิก Readeon เอเอ็มดี เป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ในตลาดของไมโครโพรเซสเซอร์ ที่มีพื้นฐานอยู่บน x86 อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปกราฟิกการ์ดรายใหญ่ของโลก และ ยังผลิตหน่วยความจำแบบแฟลช โดยในปี 2010 เอเอ็มดี เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ อันดับที่ 12 ของโลก


เอเอ็มดีนับเป็นคู่แข่งที่สำคัญของอินเทลในตลาดไมโครโพรเซสเซอร์ และมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในหลายประเทศ เรื่องอินเทลผูกขาดการค้า ปัจจุบันได้ทำการยอมความกันไปแล้ว


APPLE A4



 A4 ได้เปิดตัว (พร้อมกับ iPad) เมื่อ 27 มกราคม 2553 ในช่วงที่ Apple กำลังสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมามากมาย
7 มิถุนายน 2553 สตีฟ จ๊อบส์ ประกาศยืนยันในที่สาธารณะว่า iPhone 4 จะมี A4 Processor ถึงแม้ว่าช่วงนั้น A4 จะไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนัก แต่มันก็มีช่วงความถี่เดียวกันกับ iPad ความกว้างของบัสหรือแคชที่เหมือนกับ A4 ที่พบก่อนหน้าที่จะผลิต iPad
1 กันยายน 2553 iPod Touch และ AppleTV มีการปรับปรุงเพื่อให้ใช้ได้กับ A4 Processor

จุดกำเนิดของ A4 เริ่มต้นในปี 2548 จากความรู้ดั้งเดิมที่เรียกว่า PA Semiconductor จากฟอรัม 2005 Fall Processor โดย PA Semiconductor แสดงวิสัยทัศน์สำหรับสถาปัตยกรรม Soc Power PC, The G5-Derived PWR ficient family ซึ่งเป็นชื่อโดยนัย ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่มีประสิทธิภาพสูงแบบมัลติคอร์ชิป PowerPC ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์มือถือและในปีเดียวกัน มีโครงการที่ผู้บริหาร Tim Cook เรียกว่า “the mother of all thermal challenges” โดยการใส่โปรเซสเซอร์ G5 ลงในPowerBook เครื่องโน๊ตบุ๊คของ IBM ไม่เคยถูกทำขึ้นเพื่อรองรับ G5 นั่นคือผลลัพธ์จากการทิ้ง Apple โดยไม่มีอะไรติดมือไป นอกจากPowerPC G4 ชิปแบบเก่า Apple ชิงไหวชิงพริบด้วยการใช้เทคโนโลยีของตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Apple ได้มองหาแนวทางแก้ไขไว้อยู่แล้ว
มันเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวที่ Apple ทิ้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับ PA Semi ไว้ และทั้งสอง ได้กลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด ในแผนอนาคตฮาร์ดแวร์ของ Power PC ของ Mac ต่อมาก็เป็นเวรเป็นกรรมของ Apple ที่ WWDC 2005 ประกาศว่าได้สลับไปยัง Intel แล้วในขณะนี้ ความคืบหน้าความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่าง Apple และ PA Semi จึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
แต่วิศวกร 150 คนของ PA Semi ยังคงส่งต่อพันธกิจตามสัญญาของพวกเขา สมาชิกแต่เพียงผู้เดียวของครอบครัว PWRficient ได้เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เริ่มต้นในการเป็นบริษัทคู่ค้าที่ใกล้ชิดที่สุด ตามมาด้วยการเปิดกว้างในภายหลังในปีนั้น มันเติบโตอย่างมาก เป็นชุดที่มีรายละเอียดที่น่าสนใจ คือ ประกอบด้วย G5 2 ตัว ขนาด 64 - bit PowerPC กับตัวควบคุมหน่วยความจำ DDR2 อีก 2 ตัวบนชิปตัวเดียว มันวิ่งที่ความถี่ 2.0 GHz กับค่าเฉลี่ย 13 วัตต์ และจุดสูงสุดอยู่ที่ 25 วัตต์ ในขณะเดียวกันมากกว่าของ Intel แบบดั้งเดิมที่ออกแบบ Merom Core 2 Duo LV L7700 – การแข่งขันที่สูสีที่สุดในเวลานั้น อย่างเดียวคือสามารถทำงานที่ 1.8 GHz กับพลังงานสูงสุดที่ 17 วัตต์
ต้นปีถัดมา Apple มีการสั่งซื้อ PA Semi อย่างเงียบๆ ในปริมาณมากเพื่อเก็งกำไร ที่ Apple ได้เจตนาที่จะนำความสามารถใหม่ที่ได้มาใช้ในการทำงานบนชิปสำหรับผลิตมือถือในอนาคตเช่น iPods และ iPhones ซึ่งตอนนั้น Apple ดำเนินการได้เงียบมากจนกระทั่งมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Hot Hot อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน